แต่ทั้งนี้ฉันก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเนื่องจากได้ยินข่าวมา อย่างหนาหูเหลือเกินเกี่ยวกับกิตติศัพท์อันเลื่องลือของหาดนี้ ในด้าน rip current หรือกระแสนํ้าตามธรรมชาติแสนอันตราย ที่พร้อมจะปลิดชีพคนได้อย่างเลือดเย็น ไม่ต่างจากอุณหภูมิของนํ้า ถ้าหากไม่รู้จักการรับมือที่ดี
เมื่อถึงทะเล ฉันจัดแจงปูเสื่อลงบนพื้นทรายขาว วางของเล่นให้ลูกได้เล่นเสริมทักษะ และเก็บสัมภาระอื่นๆ ให้มิดชิด ฉันบอกแม่ว่า อย่าพาน้องลงไปในทะเลนะ ควรหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุทุกด้านจะดีกว่า แมฉันกับลูกจึงวิ่งลง
ไปเล่นที่ชายหาด ใกล้ๆบริเวณที่คลื่นซัดมา ฉันเฝ้าของอยู่บนเสื่อ นอนดูพวกเขาเล่นกันอย่างมีความสุข แม่ฉันเริ่มแก่ลงทุกวันและลูกของฉันก็โตขึ้นทุกวัน ฉันดีใจที่ได้พาพวกเขาออกมาสัมผัสอากาศอันสดชื่นและชายหาดที่สวยงามที่นี่ ระหว่างที่ฉันกําลังชื่นชมความงดงามของธรรมชาติและชีวิตอยู่นั้น ฉันสังเกตเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมุงดูอะไรบ่างอย่าง และมีชาย 2 คน วิ่งไปจุดนั้นพร้อมวิทยุสื่อสารในมือ ฉันจึงตัดสิน ใจวิ่งไปบอกแม่ว่าให้ดูแลตัวเองกับน้องดีๆนะ อย่าลงนํ้า เดี๋ยวจะวิ่งไปดูตรงนั้นสักประเดี๋ยว
เมื่อไปถึงฉันสอบถามคนรอบข้างและทราบความว่า มีชายไทยคนหนึ่งพาลูกชายมา เล่นนํ้าทะเลแต่พ่อไม่ได้ลงนํ้าด้วย จึงเฝ้าดูอยู่บนชายหาด เมื่อหันกลับลงไปมองในทะเลอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่พบลูกชายของตนแล้ว อารามตกใจ คิดว่าลูกตัวเองจมนํ้า จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่บนหาดเพื่อขอความช่วยเหลือ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงลงไปหาในนํ้าพร้อมทั้งขับเรือเจ็ทสกีออกไปหา ทุกคนกังวลใจเป็นห่วงเด็กชายเกรงว่าจะจมนํ้า ต่างคนต่างแจ้งเบาะแสว่าเจอน้องครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ที่จุดไหน บ้างก็บอกว่าเจอน้องเดินอยู่บนชายหาด
สักครู่ต่อมาเด็กชายที่คนร่วม 30 คนกําลังเป็นห่วงอยู่นั้น น้องก็ได้เดินหน้าหงอยๆ มาที่กลุ่มไทย (และต่างชาติ) มุงพร้อมกับเดินมาหาพ่อ พร้อมถามว่า “พ่อไปไหนมา ผมเดินตามหาทั่ว หาดตั้งนาน” โอละพ่อ! สุดท้ายน้องไม่ได้จมนํ้า เพียงขึ้น จากนํ้าทะเลแล้วหาพ่อไม่เจอ จึงเที่ยวเดิน ตระเวนหาทั่วหาด ด้านคุณพ่อก็หาลูกไม่เจอ ต่างคนต่างหากลายเป็นเรื่องชุลมุนเล็กๆ บนหาดที่นึกถึงเมื่อไหร่ก็ขํา