การกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าที่คร่าชีวิตผู้คนและสัตว์ในเมืองหลวงของประเทศเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพื่อหยุดยั้งการเสียชีวิตของมนุษย์จากโรคพิษสุนัขบ้าภายในปี พ.ศ. 2573 นำโดย GARC องค์การอนามัยโลก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ องค์การสุขภาพสัตว์โลก ปัจจุบันทั่วโลกยังมียอดผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าปีละกว่า 59,000 ราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชียและแอฟริกา
วัตถุประสงค์ของโครงการสืบเนื่องจากการดำเนินงานของมูลนิธิเพื่อสุนัขในซอยในการยุติการค้าเนื้อสุนัขและแมวในประเทศเวียดนาม การขนส่งสุนัขและแมวทั้งที่ถูกพาตัวไปจากท้องถนนและจากบริเวณบ้านซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของไปยังโรงฆ่าสัตว์ในกรุงฮานอยไม่เพียงแต่ทำให้การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้ายังคงดำเนินต่อไปแต่ยังทำให้สถานการณ์ของโรคแย่ลงอีกด้วย
ซอยด๊อกกำลังดำเนินโครงการ “Last Country on Earth” เพื่อยุติการค้าเนื้อสุนัขทั่วทวีปเอเชีย ซึ่งมูลนิธิฯ หวังใช้โครงการนี้เพื่อจูงใจให้ชาวเวียดนามเห็นว่าการเลิกบริโภคเนื้อสุนัขและแมวมีความสัมพันธ์กับการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า และจะสามารถยุติทั้งสองอย่างในประเทศเวียดนามได้
ซอยด๊อกจะร่วมมือกับ DAH และ GARC เดินหน้าโครงการวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า การรับมือกับการแพร่ระบาด การทดสอบโรคจากกลุ่มตัวอย่างเนื้อสุนัขและแมวที่มาจากโรงฆ่าสัตว์ในเวียดนามเพื่อประเมินความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค การให้ความรู้ในชุมชนที่ยังมีความเสี่ยงรวมถึงเยาวชนในสถานศึกษา
นายจอห์น ดัลลียส์ ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อสุนัขในซอยได้กล่าวไว้ในระหว่างการทำงานของซอยด๊อกเพื่อยุติการค้าเนื้อสุนัขและแมวในประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2554 – 2557 ว่า “การยุติธุรกิจค้าเนื้อสุนัขและแมวไม่ได้ช่วยกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า แต่ผมรับประกันว่าหากเราไม่ยุติกิจการนี้ เราจะไม่สามารถกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าลงได้อย่างแน่นอน”
ซอยด๊อกได้ยุติการค้าเนื้อสุนัขในประเทศไทยได้สำเร็จ โครงการทำหมันและฉีดวัคซีนของมูลนิธิฯ ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้จำนวนโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทยลดลง สุนัขและแมวเกือบ 800,000 ตัวได้รับการทำหมันและฉีดวัคซีนผ่านโครงการ CNVR (จับ, ทำหมัน, ฉีดวัคซีน, ปล่อยกลับสู่ถิ่นเดิม) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 โดยได้มีโอกาสนำเสนอผลงานแก่หน่วยงานภาครัฐไปจนถึงโครงการในพระราชดำริเช่น โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธานศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี โดยมูลนิธิฯ จะมุ่งหน้าขยายผลความสำเร็จนี้ไปยังประเทศเวียดนามต่อไป
