ปัญหาขยะหน้าหาดแรงจูงใจสู่การเมือง

บุคคล - มุมมองนายกเล็กป่าตอง นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ กับการเข้ามาแก้ 5 ปัญหาจำทนที่คนป่าตองต้องเผชิญ

เปรมกมล เกษรา

วันเสาร์ ที่ 5 สิงหาคม 2560, เวลา 10:00 น.

นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง จากเด็กสาวห้าวๆ ที่เกิดและโตที่ป่าตอง และเป็นผู้นำกลุ่มเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก สู่เส้นทางสายการเมือง ด้วยการเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลป่าตอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ กระทั่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง ในปัจจุบัน

ชีวิตวัยเด็ก

ตั้งแต่เด็กจนโตก็เป็นเด็กป่าตอง บ้านอยู่เยื้องๆโรงเรียนวัดสุวรรณคีรีวงก์ ตอนนี้อายุ 54 ปี เมื่อก่อนเพื่อนเยอะ เพราะเป็นคนเฮฮา เมื่อก่อนหลายคนมองว่าเป็นทอมบอย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพียงแค่มีบุคลิกห้าวๆ กระฉับกระเฉง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวาน ไม่อ่อนแอ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร ในกลุ่มเพื่อนดิฉันจะเป็นหัวโจกเลย ตั้งแต่เด็กจนโตมีความภูมิใจที่ทำอะไรด้วยตัวเองได้มาโดยตลอด

อย่างทุกวันนี้แต่งหน้าทำผมเอง ที่ตัดผมสั้นเพราะมันดูแลง่าย สระผมเสร็จก็เป่าให้แห้ง ฉีดสเปรย์ให้เข้าทรงก็จบแล้ว เมื่อก่อนก็เคยอยากไว้ผมยาวกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่เป็นคนผมหยักศกก็เลยไปยืดผม แต่มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนเดินมาบอกว่า “ขอร้องเถอะ ไปตัดผมสั้นเถอะ เพราะมันดูรุงรังเหลือเกิน” (หัวดิฉันนะ) จากนั้นมาก็เลยไว้ผมสั้นตลอดมา แต่ต้องขอบคุณเพื่อนรักคนนี้ เพราะถ้าเขาไม่รักดิฉันเขาคงไม่เดินมาบอก

เป็นเด็กขี้อาย แต่เรียนเก่ง ไม่ค่อยเข้ากิจกรรมกีฬา แต่จะอยู่ชมรมหวานๆ เช่น คหกรรม เย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ ผู้หญิงๆ อันนี้คือสมัยเป็นเด็ก

การศึกษา

ป.1-ป.7 จบโรงเรียนวัดสุวรรณคีรีวงก์ ม.1-3 โรงเรียนกะทู้วิทยา ม.4-5 โรงเรียนสตรีภูเก็ต ปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาโทสาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช

มุมมองผ่านสายตาของนายกเทศมนตรีหญิงแห่งเมืองป่าตอง

แต่ตอนนี้มุมความขี้อายของดิฉันไม่มีแล้ว เพราะว่าเมื่อดิฉันโตขึ้น ภาระหน้าที่และความรับผิดมันผลักให้ดิฉันหลุดออกจากความขี้อายเอง ดิฉันอยู่ตรงนี้ เป็นผู้บริหาร เป็นหลักให้กับคนหมู่มาก บางทีต้องออกไปพูดถึงประเด็นต่างๆ ดิฉันจะอายไม่ได้ ยิ่งบ่อยครั้งก็จะยิ่งเคยชิน แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าพูดมากเกินไปบ้างเหมือนกัน เสนอความเห็นเยอะไปแล้ว แต่ทุกอย่างที่พูด ดิฉันพูดออกมาจากใจ คิดอะไรก็พูดแบบนั้น และมั่นใจว่าสิ่งที่ทำมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดิฉันจึงพร้อมที่จะเสนอและพูดออกไป และไม่กลัวว่าจะมีใครมาตำหนิหรือไม่พอใจ เพราะคิดว่าในบางครั้งมันก็ถึงจุดที่ต้องออกมาพูด

ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้หลายคนเลือกที่จะไม่พูดแต่คาดหวังอยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา อยากให้คนอื่นพูดและทำเพื่อก่อประโยชน์ให้ตัวเองอย่างที่ตนต้องการ เพราะไม่อยากปะทะและไม่อยากให้คนอื่นเกลียด ซึ่งดิฉันมองว่าสังคมปัจจุบันนี้ ถ้าดิฉันคาดหวังความเปลี่ยนแปลง ดิฉันต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ในตอนนี้เป็นผู้บริหารดิฉันจำเป็นต้องพูด ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ดิฉันจำเป็นต้องพูดว่าเค้าทำผิด เพราะถ้าไม่พูดก็แก้ปัญหาไม่ได้

จุดเริ่มต้นเส้นทางสายการเมือง

ตอนแรกไม่เคยคิดหรือคาดหวังเลยว่าจะมาทำงานที่เรียกว่า “การเมือง” ก่อนหน้านั้นเรียนกำลังจะเรียนจบปริญญาตรี ช่วงนั้นมีเวลาว่างเยอะ ก็เลยไปเปิดเจอในหนังสือว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเปิดหลักสูตร การเรียนการสอนเกี่ยวกับงานโรงแรมและการท่องเที่ยวของบางแสน ก็เลยไปสมัครเรียนด้านการทำอาหาร เป็นเวลา 1 ปี จนเรียนจบออกมาก็เกิดอาการร้อนวิชา กอรปกับที่บ้านมีที่ดินติดชายหาดป่าตองซึ่งตอนนั้นหมดสัญญาพอดี ก็เลยบอกคุณยายว่าไม่ต้องต่อสัญญาให้เขาแล้ว เดี๋ยวจะมาทำเอง ก็เลยเปิดร้านอาหาร ชื่อ “ร้านอาหารลายไม้” และบริหารงานเอง ในตอนนั้นดิฉันมั่นใจว่าดิฉันเป็นรายแรกที่ขายกาแฟไซฟ่อน เป็นกาแฟที่ใช้ระบบลนน้ำด้วยไฟให้เกิดความร้อน และน้ำจะถูกดูดขึ้นไปละลายกับกาแฟ พอความร้อนหายไปกาแฟก็จะถูกดูดกลับมาข้างล่าง

ดิฉันเลือกใช้สินค้าที่น่าสนใจมาจำหน่ายเพื่อดึงดูดลูกค้า ในตอนนั้นคือปี 2528 นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเข้ามายังป่าตองพอสมควรแล้ว เมื่อมีกาแฟที่ชาวต่างชาตินิยมดื่ม ฐานลูกค้าต่างชาติจึงเพิ่มขึ้นและเกิดความสนิทสนมเคยชินกันและเค้าคุยกับดิฉันว่า ชายหาดป่าตองนั้นสวย แต่สกปรก ดิฉันก็เกิดคำถามว่า จะทำยังไงดี เพราะเราก็ทำความสะอาดแต่ในส่วนของเรา ส่วนด้านอื่นๆเราไม่ได้ดูแล จะให้เราไปกวาดทั้งหาดก็คงไม่ใช่ ก็เลยเริ่มค้นหาว่าหน้าที่นี้คือหน้าที่ใคร

ตอนนั้นป่าตองยังเป็นสุขาภิบาลอยู่ ก็เลยมารู้ว่าเป็นหน้าที่ของสุขาภิบาลป่าตองที่จะต้องมาจัดการ ช่วงนั้นเขากำลังจะเลือกตั้งกรรมการสุขาภิบาลพอดี และอยากมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือจัดการเรื่องพวกนี้ พี่จึงไปสมัครเป็นกรรมการสุขาภิบาลป่าตอง และโชคดีที่ได้รับเลือกตั้ง ดิฉันจึงได้โอกาสเข้าไปจัดการเรื่องขยะหน้าหาด แต่จริงๆ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นคือการเมือง รู้แต่ว่าดิฉันอยากจัดการขยะตรงนั้น แต่การเป็นกรรมการสุขาภิบาลป่าตองจึงทำให้ดิฉันกลายเป็นนักการเมืองไปโดยไม่รู้ตัว

ตอนนั้นกรรมการสุขาภิบาลไม่ได้ทำอะไรมาก เวลาประชุมก็เด๋อๆด๋าๆ พูดอะไรไม่เป็นเท่าไหร่ ตอนนั้นเป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ ในวันที่ป่าตองยังไม่โด่งดัง ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้นคือเรื่องขยะและถนนลูกรังที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย

กระทั่งป่าตองยกระดับจากสุขาภิบาลสู่เทศบาลตำบลป่าตองในปี 2537 พี่ชายจึงตั้งกลุ่มการเมือง ชื่อกลุ่มป่าตองก้าวหน้า เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ตอนนั้นยังขาดสมาชิก จึงลงสมัครเลือกตั้งช่วยพี่ชาย แต่ต่อมาช่วงหาเสียงพี่ชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ดิฉันจึงได้ก้าวขึ้นมานำทีมแทนพี่ชาย

ในการเลือกตั้งปี 2542 ได้ลงแข่งขันกันในสนามเลือกตั้งสมาชิกสภาและได้รับเลือก จากนั้นก็ทำงานเป็นสมาชิกสภาอยู่ประมาณ 2 ปี

ต่อมาในปี 2544 จังหวัดภูเก็ตมีประชากรเพิ่มมากขึ้นจึงได้ส.ส.เพิ่ม เพราะฉะนั้นแต่ละพรรคการเมืองจึงหาผู้สมัครลงส.ส. พรรคประชาธิปัตย์จึงมาชวนไปลงส.ส. จึงตอบตกลง และได้รับเลือกเป็นส.ส. 3 สมัย เป็นส.ส.เขต 2 สมัย และส.ส.สัดส่วนอีก 1 สมัย ดำรงตำแหน่งส.ส.ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปี 2553 จึงออกมาทำธุรกิจโรงแรมเอง ชื่อโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส

ในช่วงที่บริหารโรงแรมของดิฉัน ดิฉันมองเห็นปัญหาของป่าตองได้อย่างชัดเจน เพราะดิฉันใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน ดูแลทุกอย่างตั้งแต่การก่อสร้างโรงแรม จนรู้สึกว่า มันมีปัญหาเยอะมาก ติดขัดไปหมด สารพัดปัญหา ทั้งเรื่องขยะ บ้านเมืองสกปรก ขายของตามชายหาด น้ำเสีย รถติด แต่ก็ไม่คิดว่าจะลงการเมืองอีก เพราะอายุเริ่มมากขึ้น อยากไปเที่ยวมากกว่า แต่พอดีในตอนนั้นมีการเลือกตั้งซ่อมพอดี ท่านนายกเปี่ยน กี่สิ้น ได้รับคำสั่งจากศาลให้เลือกตั้งซ่อม มันจึงอยู่ในช่วงจังหวะที่ดิฉันหงุดหงิดกับปัญหาของป่าตองพอดี จึงเกิดความคิดว่า ดิฉันลองลงไปแก้ปัญหาในสิ่งที่ดิฉันเจอดีไหม จึงลงสมัคร และได้รับเลือกตั้งมาเป็นนายกเทศบาลเมืองป่าตองมา 3 ปีแล้ว

ทำไมจึงกล้าล้ม เปี่ยน กี่สิ้น อดีตนายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง ผู้อยู่คู่เมืองป่าตองมานาน

ดิฉันฟังข่าวคุณเปี่ยนทำงานมา สิ่งที่ท่านทำและพัฒนาป่าตองมาก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ และจากการรับรับฟังปัญหาดิฉันรู้สึกว่าชาวบ้านไม่รู้จะพึ่งพาใครแล้ว เลยคิดว่าถ้าดิฉันลงมาช่วย คนที่เค้าอยากเปลี่ยนผู้นำเค้าน่าจะให้โอกาสดิฉันนะ เพราะดิฉันเองก็เป็นคนท้องถิ่นและไม่เคยทำอะไรเสียหาย ทั้งบรรพบุรุษที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียหรือเสียหายที่ก่อให้คนตั้งข้อกังขาหรือเกิดความไม่ไว้วางใจ ดังนั้นด้วยความตั้งใจที่อยากมาช่วยบ้านเมืองให้ดีขึ้น และคิดว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถและมีเวลามากพอที่จะทุ่มเทให้งานตรงนี้ได้ก็เลยตัดสินใจลงสมัคร

ในช่วงหาเสียง ดิฉันไม่ได้มีนโยบายสวยหรูเพื่อจูงใจประชาชนมากนัก เพราะในตอนนั้นคิดแค่ว่าจะไม่สร้างอะไรเพิ่มเติม แต่จะสะสางปัญหาให้หมดก่อน

ตอนนั้นใช้นโยบายต้องก้าวให้พ้นความจำทน 5 ประการ เพราะพี่อยู่ที่นี่พี่รู้ว่าชาวป่าต้องต้องจำทนกับปัญหาอะไรบ้าง เช่น เรื่องน้ำท่วม น้ำเสีย ขยะ การจราจร และพื้นที่สาธารณะที่ถูกยึด คือ ตอนนั้นป่าตองมีการจัดงานตลอดทั้งปี แผงลอยเต็มทั้งหาด เสียงอึกทึกครึกโครม ชาวบ้านไม่ได้หลับนอน นักท่องเที่ยวมาเที่ยวแทนที่จะได้เห็นหาดสวยๆ ก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้ เมื่อเราต้องจำทน และเชื่อว่าประชาชนก็จำทนเหมือนเรา จึงเสนอว่าป่าตองจะต้องก้าวให้พ้นปัญหาจำทนพวกนี้ และทำให้ชนะการเลือกตั้ง

ดิฉันตั้งใจที่จะลงมาแก้ไขปัญหา ยังไงก็ต้องทำงานให้ครบวาระ 4 ปี ถ้าคสช.ต่ออายุให้ก็ต้องทำงานต่อไป พยายามทำเต็มที่ ถ้าหมดจากวาระไปแล้วและมีการเลือกตั้งใหม่ ชาวบ้านจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าเขาจะให้โอกาสอีกหรือไม่ ปัญหาต่างๆที่สะสมมา 10-20 ปี แต่ดิฉันเข้ามาบริหารงาน 3 ปี แก้ปัญหาไปได้ขนาดนี้เหมาะสมหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้พิจารณาเอง

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่