ค้าปลีกอเมริกันไม่ฟื้น ปิดสาขาอื้อ-ตกงานเพียบ

โพสต์ทูเดย์

วันจันทร์ ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560, เวลา 11:12 น.

ภาพโดย AFP

ภาพโดย AFP

โพสต์ทูเดย์ - ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ระดับท็อป 10 ในสหรัฐอย่าง เมซีส์ เพิ่งประกาศข่าวร้ายเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา โดยการทำการปิดสาขา 70 แห่ง และเตรียมลดพนักงานลง 1 หมื่นอัตรา หลังเผชิญหน้ากับการแข่งขันอย่างรุนแรงจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่กดดันห้างและร้านค้าปลีกต่างๆในสหรัฐมาหลายปี แม้จะงัดกลยุทธ์มากมายมาดึงดูดลูกค้าช่วงเทศกาลที่ผ่านมา แต่ก็ไม่อาจสู้การเติบโตของร้านค้าออนไลน์ที่มาแรงในรอบหลายปีนี้ได้

เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ นิวยอร์กโพสต์ ได้รายงานว่า เทอร์รี ลันด์เกรน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของเมซีส์ ที่กำลังจะออกจากตำแหน่งและกำลังพิจารณาจะขายกิจการ จึงเป็นเหตุให้หุ้นของเมซีส์ได้ปรับตัวขึ้นถึง 5%

โดยเมซีส์ไม่ได้เป็นเพียงห้างแห่งเดียวที่ต้องปิดสาขาเพื่อรักษาตัว ทางด้านเซียร์สเอง ก็ได้ประกาศปิดสาขา เซียร์ส 41 แห่ง และเคมาร์ทอีก 109 แห่งในเวลาไล่เลี่ยกับเมซีส์ หลังจากที่ปิดไปแล้ว 78 แห่งในปีก่อน และปี 2015 ปิดไปกว่า 200 แห่ง ขณะที่เดอะ ลิมิเต็ด ร้านเสื้อผ้าสตรีชื่อดังเพิ่งประกาศปิดสาขาไปทั้งหมด 250 แห่ง เหลือไว้เพียงแค่ร้านค้าออนไลน์ และอาจต้องปลดพนักงานกว่า 4,000 อัตรา

ความย่ำแย่ของร้านค้าปลีกส่งผลให้ชาวอเมริกันตกงานหลายหมื่นคน โดยจากข้อมูลของชัลเลนเจอร์ เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส บริษัทจัดหางานพบว่า ในปี 2016 ที่ผ่านมา พนักงานมากกว่า 4.36 หมื่นคน ต้องตกงานจากภาคส่วนค้าปลีก

กรีนสตรีทแอดไวเซอร์ รายงานภาพรวมห้างร้านประจำปี 2017 ว่า ห้างสรรพสินค้าจะต้องปิดสาขาเพิ่มอีก 800 สาขา เพื่อที่จะรักษาศักยภาพการขายให้ได้เท่าเทียมกันในระดับเดียวกับปี 2006 หลังต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันซึ่งไม่ใช่เพียงค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังมีการเติบโตของธุรกิจฟาสต์-แฟชั่น (การออกคอลเลกชั่นเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว) และธุรกิจออฟ-ไพรซ์ (ค้าปลีกราคาถูก) ก็ยังเป็นอีกปัจจัยกดดันเช่นกัน

การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นนี้ ทำให้ภาคส่วนธุรกิจค้าปลีกต้องทำการปรับตัวและมุ่งเน้นไปยังตลาดออนไลน์มากขึ้น หรือจะเลือกปิดสาขาเพื่อรักษาตัว เช่น วอลมาร์ท ค้าปลีกชื่อดังที่ประกาศจะเข้าแข่งขันกับอเมซอน ร้านค้าออนไลน์ชื่อดังที่มีการเติบโตคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการเติบโตในภาคส่วนอี-คอมเมิร์ซทั้งหมดในสหรัฐ

ในทางกลับกัน ธุรกิจค้าปลีกบางส่วนกลับเลือกวิธีขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่สามารถสร้างยอดขายได้แทน เพื่อเป็นการรองรับนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้เอกชนช่วยสร้างงานในประเทศ เช่น วอลมาร์ท ซึ่งแม้จะเพิ่มการลงทุนออนไลน์มากขึ้น แต่ก็มีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมเช่นกัน โดยคาดว่าจะขยายราว 60 สาขาในปีนี้ พร้อมเพิ่มการจ้างงาน 1 หมื่นอัตรา

ไม่ใช่เพียงวอลมาร์ทเท่านั้น ดอลลาร์ เจเนอรัล (ดีจี) ห้างค้าปลีกที่ขายสินค้าสำหรับใช้ในบ้าน ก็ได้มีการเตรียมการขยายสาขาใหม่เพิ่ม 900 สาขา โดยในแต่ละสาขาจะจ้างพนักงานไม่มากนัก และปรับเปลี่ยนที่ตั้งของสาขาเดิมอีก 900 สาขา เพื่อไปในพื้นที่ที่มียอดขายดีกว่า

นโยบายรัฐบาลใหม่ไม่เอื้อ

ขณะเดียวกัน ภาคค้าปลีกยังต้องเผชิญกับการกดดันจากนโยบายรัฐ เนื่องจากพรรครีพับลิกันได้เสนอการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้า 20% และยกเว้นการเก็บภาษีสินค้าส่งออก เพื่อกระตุ้นให้เอกชนสหรัฐหันมาผลิตในประเทศมากขึ้น แต่การเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ตามร้านค้าเหล่านี้มักเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคอ่อนไหวต่อการขึ้นราคา

“การขึ้นภาษีชายแดนจะทำให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคสูงไปด้วย ซึ่งเป็นความจริงที่เราต้องเผชิญหากมีการออกมาตรการดังกล่าวจริง” วิกเตอร์ ลูอิซ ซีอีโอของโค้ช แบรนด์กระเป๋าชื่อดัง เปิดเผยกับซีเอ็นบีซี

ความกังวลดังกล่าวส่งผลให้บริษัทค้าปลีกและองค์กรการค้ามากกว่า 120 แห่ง ซึ่งรวมถึงสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นอาร์เอฟ) ออกมาตรการ “ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเหมาะสมสำหรับชาวอเมริกัน” พร้อมกับที่บรรดาผู้บริหารบินตรงไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อกดดันไม่ให้มาตรการดังกล่าวมีการบังคับใช้

ค้าออนไลน์เอื้อธุรกิจขนส่ง

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าออนไลน์ก็ยังส่งผลในด้านบวกต่อธุรกิจการขนส่ง เช่น ยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (ยูพีเอส) แม้ภาคธุรกิจดังกล่าวจะยังขยายตัวไม่เต็มที่ เมื่อเปรียบเทียบกับอี-คอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็วก็ตาม โดยผลประกอบการในไตรมาส 4 ของยูพีเอส อยู่ที่ 1.69 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.92 แสนล้านบาท) น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.95 แสนล้านบาท)

“ในขณะที่ปริมาณการขนส่งเติบโตขึ้น โอกาสกำลังมา แต่ในเมื่อเราทำธุรกิจแบบธุรกิจกับผู้บริโภค (บีทูซี) เราจึงได้รับผลกระทบ” ริชาร์ด เพอเรตซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินยูพีเอส กล่าว

ทั้งนี้ ยูพีเอสส่งของไปทั้งหมด 712 ล้านชิ้นทั่วโลก ในระหว่างช่วงเทศกาลที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันแบล็กฟรายเดย์ไปจนถึงวันสิ้นปี โดยมีการเติบโตทั้งหมด 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2015 ซึ่งธุรกิจแบบบีทูซีคิดเป็น 55% ของปริมาณการจัดส่งทั้งหมด อย่างไรก็ตามการส่งของถึงมือผู้บริโภคทีละหลายๆรายนั้น ใช้ค่าใช้จ่ายมากกว่าการส่งของระหว่างธุรกิจกับธุรกิจที่มีปริมาณมากในคราวเดียว และกลายเป็นความเสี่ยงที่บริษัทขนส่งต้องแบกรับเช่นกัน

โดยทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์ 

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่