DSI ร่วมกับตม.ภูเก็ต รวบนักแสดงชาวอเมริกันรับบทผู้บริหาร ร่วมขบวนการต้มตุ๋นแชร์ข้ามชาติ

ภูเก็ต – กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) สรุปสำนวนการสอบสวนเสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสั่งคดีกรณีบริษัท อีเกิ้ลเกทส์ กรุ๊ป จำกัด กับพวก หลอกลวงผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศแล้ว โดยขอออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดรวม 32 ราย เป็นชาวไทย 23 ราย และชาวต่างชาติ 9 ราย ล่าสุดร่วมกับตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต จับกุมชายชาติอเมริกัน ขณะเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว

ข่าวภูเก็ต

วันพุธ ที่ 22 สิงหาคม 2561, เวลา 13:34 น.

ภาพ DSI

ภาพ DSI

เว็บไซต์ดีเอสไอระบุว่า บริษัท อีเกิ้ลเกทส์ กรุ๊ป จำกัด กับพวกหลอกลวงผู้เสียหายให้ร่วมลงทุน โดยอ้างว่าเป็นบริษัทซื้อขายดัชนีหุ้นมาจากสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งบริษัทมาแล้วกว่า 10 ปี ซึ่งพฤติการณ์ของขบวนการนี้ มีการกระทำความผิดในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยให้กลุ่มหนึ่งจัดบรรยายชักชวนผู้เสียหายในประเทศไทยให้หลงเชื่อร่วมลงทุนกับบริษัท และอีกกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ในการยักย้ายถ่ายโอนเงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากผู้เสียหาย คดีนี้มีผู้เสียหายประมาณ 250 ราย เข้ามาร้องเรียนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ มูลค่าความเสียหายประมาณ 235 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าวดีเอสไอ ร่วมกับตม.ภูเก็ต จับกุมนายเดอร์ริค แมทธิว เคเลอร์ สัญชาติอเมริกัน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ขณะผู้ต้องหาดังกล่าวเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว

จากการสอบปากคำผู้ต้องหารายนี้ ทราบว่าประกอบอาชีพเป็นนักแสดงอิสระอยู่ที่ประเทศจีน ได้รับการว่าจ้างจากตัวการชาวสิงคโปร์ให้มาแสดงเป็นผู้บริหารบริษัท อีเกิ้ล เกทส์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทฯ ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับตัวการชาวต่างชาติรายใหญ่ต่อไป

สำหรับคดีจับกุมผู้ต้องหาได้แล้วทั้งสิ้น 13 ราย เป็นชาวต่างชาติ 1 ราย และชาวไทย 12 ราย ซึ่งดีเอสไอจะดำเนินการประสานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศ เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ และจะได้เร่งติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับที่เหลือต่อไป

ทั้งนี้ จากการสืบสวนสอบสวน พบว่ากลุ่มผู้กระทำผิดมีพฤติการณ์ในการปกปิดซ่อนเร้นและโยกย้ายทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด ในระหว่างเกิดเหตุมียอดเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารที่ใช้รับโอนเงินจากผู้เสียหายกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ถูกยักย้ายถ่ายโอนออกไปจนหมดหลังเกิดเหตุไม่นาน

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงิน ปัจจุบันได้รับอนุมัติเป็นคดีพิเศษซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องและตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดยมีการประสานข้อมูลร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่