แถลงการณ์ระบุว่า กระบวนการปลดพนักงานนี้จะเป็นไปตามนโยบายเกษียณอายุก่อนกำหนด และการปรับลดพนักงานที่ประจำอยู่ในโรงงาน Audi สองแห่งในเยอรมนี โดยการปรับลดครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลให้ Audi ประหยัดค่าใช้จ่ายนในองค์กรลงถึง 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะช่วยให้บริษัทกลับมาทำกำไรได้ราว 9-11%
นอกจากการปลดพนักงานแล้ว Audi มีแผนเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเตรียมเปิดรับพนักงานใหม่ 2,000 ตำแหน่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านรถยนต์ไฟฟ้าและแพลต์ฟอร์มดิจิตัล เพื่อเตรียมเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้สและเทคโนโลยีดิจิตัลในรถยนต์แบบเต็มรูปแบบ
ความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ Audi ครั้งนี้ เป็นไปตามกระแสของค่ายรถยนต์หลายบริษัทในเยอรมนีที่เตรียมปรับตัวเข้าสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่นเดียวกับซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์ของเยอรมนีอย่าง Bosch และ Continental ก็ประกาศเช่นกันว่าจะมีการปรับลดพนักงานหลายพันครั้งเพื่อลดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ผลกระทบจากการการชะลอตัวในเศรษฐกิจโลก และกฎระเบียบด้านมลพิษอันเข้มงวดในหลายประเทศ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ค่ายรถยนต์ทั้งในเยอรมนีและทั่วโลกต้องปรับตัวเช่นกัน
อย่างไรก็ดี คนงานของ Audi อีกกว่า 50,000 คนจะยังคงทำงานในโรงงานที่ Ingolstadt และ Neckarsulm ต่อไปจนถึงปี 2029 อันเป็นผลสืบเนื่องจากการเจรจาระหว่างบริษัทกับสหภาพแรงงาน
ทั้งนี้ ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา Audi ต้องประสบปัญหายอดขายและกำไรที่ลดลง อันสืบเนื่องจากการที่ Volkswagen ซึ่งเป็นบริษัทแม่ถูกเปิดโปงว่ามีการโกงการตรวจวัดค่าปล่อยไอเสีย จนส่งเสียต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และหันไปซื้อรถยนต์จากค่ายรถคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz และ BMW แทน ประกอบกับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาเร่ง Audi จึงเร่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดเพื่อหวังชิงส่วนแบ่งจากค่ายรถคู่แข่ง โดยในปีที่ผ่านมา Audi ได้ทำการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วคือ E-Tron และ E-Tron Sportback
(อ่านโพสต์ทูเดย์ คลิก)