แม่ผู้ใจสลาย สูญเสียลูกสาววัย 7 ขวบ กับการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเพียงลำพัง และฝันร้ายที่เธอต้องเผชิญ

สัมภาษณ์พิเศษ - นิติกาญจน์ โรจน์รัตนไชย “คุณโอ” หรือชื่อเดิม ภัคคมน ดวงฉายาเต็มจรัส อายุ 43 ปี คนเป็นแม่ผู้ใจสลายและการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับลูกสาววัย 7 ขวบของเธอ ที่ต้องจบชีวิตลงเมื่อปี พ.ศ. 2557 จากอุบัติเหตุรถยนต์กระบะตกลงไปในหลุมลึกขนาดใหญ่กลางถนน สายม่าหนิก-บางโจ ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ใกล้กับเรือนจำชั่วคราวบ้านบางโจ

จุฑารัตน์ เปลรินทร์

วันอาทิตย์ ที่ 4 สิงหาคม 2562, เวลา 09:00 น.

11 ธันวาคม 2557
คืนนั้นเธอได้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุมา พร้อมกับเด็กหญิงมอลลี่ แอนน์ เบลีย์ วัย 7 ขวบ มาตามถนนเพื่อกลับบ้าน ซึ่งเส้นทางที่เธอใช้นั้นกำลังอยู่ระหว่างการปรับพื้นที่โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวถูกน้ำกัดเซาะจนถนนขาดเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น

เวลาประมาณ 21.00 น. รถกระบะตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่ ทั้งคู่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล คุณโอได้รับบาดเจ็บแขนซ้ายหัก ส่วนน้องมอลลี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เข้ารับรักษาตัวในห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) ของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เนื่องจากสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แพทย์ต้องผ่าตัดช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมีครอบครัวและญาติเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด ก่อนที่น้องจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ท่ามกลางความโศกเศร้าและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสของทางครอบครัว

คุณโอกล่าวว่า เธอทราบดีว่าบริเวณดังกล่าวมีการซ่อมแซมถนน เพราะเธอใช้เส้นทางนั้นเป็นประจำ ก่อนหน้านั้นจะมีป้ายคำเตือนห้ามผ่านและแผงกั้น เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว แต่ในวันเกิดเหตุเธอพบว่าไม่มีอุปกรณ์ปิดกั้นเส้นทาง เธอจึงคิดว่างานซ่อมแซมน่าจะเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้ตัดสินใจขับเข้าไปในเส้นทางตรงหน้า แต่พอรู้ตัวอีกทีรถของเธอก็ตกลงไปในหลุมลึกขนาดใหญ่ ซึ่งในบริเวณจุดเกิดเหตุไม่มีการติดตั้งสัญญาณไฟเป็นสัญลักษณ์แจ้งเตือน หรือไฟส่องสว่างให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนแต่อย่างใด

หลังเกิดเหตุ นายวรวุฒิ ทรงยศ นายกเทศมนตรีตำบลศรีสุนทร กล่าวว่า ตนได้เดินทางไปเยี่ยมอาการของน้องที่โรงพยาบาลแล้ว ซึ่งตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าจะช่วยเหลือเยียวยาทางครอบครัวอย่างเต็มที่ และได้สั่งการให้ติดตั้งเหล็กกั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซ้อนแล้ว

กรกฎาคม 2558
คุณโอ เดินทางไปติดตามความคืบหน้าคดีในความผิดฐาน กระทำการโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ ณ สถานีตำรวจภูธรถลาง ภายหลังจากที่เธอได้เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลจากเดิม ภัคคมน ดวงฉายาเต็มจรัส เป็น นิติกาญจน์ โรจน์รัตนไชย โดยมีนายกเทศมนตรีตำบลศรีสุนทร เดินทางมายังสถานีตำรวจในฐานะ ผู้แทนเทศบาลตำบลศรีสุนทร

และนั่นก็เป็นวันที่เธอเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เธอได้เรียกร้องค่าชดเชยจำนวน 10 ล้านบาท โดยคำนวณจากการคาดการณ์ว่าน้องจะสามารถสร้างรายได้เดือนละ 50,000 บาท ภายหลังจากจบการศึกษาโรงเรียนนานาชาติขจรเกียรติ ภูเก็ต จากนั้นจะได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยจนจบ และทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปีไปจนถึงอายุ 60 ปี

“มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากกับการที่จะต่อรองในคดีนี้ เงินไม่ได้มีความหมายอะไร เมื่อเทียบกับชีวิตของลูกสาว ” เธอกล่าว

ขณะนั้นคดียังอยู่ในชั้นสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนจะถูกส่งต่อให้กับสำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ตตามขั้นตอน คุณโอกล่าวว่า คุณพ่อของน้องมอลลี่ยอมแพ้กับการทวงความยุติธรรมให้กับลูกสาว เนื่องจากกระบวนการที่มีความล่าช้า ทำให้ดูเหมือนคดีจะไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จึงทำให้เหลือเธอเพียงคนเดียว ที่ยังยืนยันว่าจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด โดยมีครอบครัวและเพื่อน ๆ คอยเป็นกำลังใจและคอยให้การสนับสนุนอย่างดีตลอดมา แต่ทุกครั้งที่เดินทางไปศาล เธอเจ็บปวดในใจเป็นที่สุด

เคยคิดฆ่าตัวตาย
เธอยอมรับว่า เคยพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง ร้องไห้ทุกคืน และรู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เพราะลึก ๆ ในใจแล้วเธอรู้สึกเหมือนเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ และมันก็คือเรื่องที่คนเป็นแม่อย่างเธอเจ็บปวดเป็นที่สุด

“คิดว่าอยู่ไม่ได้แล้ว ใจมันจะขาด และยิ่งตอนนั้นฝนตกด้วย เราก็คิดไปว่าลูกเราจะอยู่ยังไง คิดไปว่าถ้ามีสิ่งไม่ดีมาแกล้งลูก แต่เราไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ความรู้สึกเหมือนมีถุงพลาสติกกำลังคลุมหัวอยู่ จากนั้นก็เกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมา บอกกับตัวเองว่าไม่อยากอยู่แล้ว มันทรมานมากเหลือเกิน ต้องตายเท่านั้น ไม่ไหวแล้ว เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็น” คุณโอ กล่าว

“แต่ต้องหยุดความคิดนั้นเอาไว้ เพราะนึกถึงหน้าของพ่อกับแม่ ตอนนั้นเราสูญเสียลูกคนเดียวไป ในขณะเดียวกันถ้าหากเราเป็นอะไรไป พ่อแม่ของเราจะเสียทั้งหลานและลูก ท่านจะอยู่อย่างไร แล้วใครจะทำบุญให้ลูก เกิดมาไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้เลยและตอนนั้นเราก็ได้เห็น และมันก็ทำให้เราคิดได้ว่าเราต้องเข้มแข็ง รู้ดีว่าไม่มีวันที่จะทำใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เราทำได้คือ “ปลง” ว่ามันเกิดขึ้นมาแล้ว และเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้”

ช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ เพื่อทวงคืนความยุติธรรม หลังตื่นจากฝันร้าย
คุณโอเล่าว่า ที่ผ่านมาความยุติธรรมที่เธอสัมผัสได้นั้นเบาบางมากเหลือเกิน ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ต้องต่อสู่อยู่เพียงลำพัง เพราะภายหลังเกิดเหตุอดีตสามีของเธอก็ยอมแพ้ให้กับโชคชะตา จนสุดท้ายก็ต้องมีอันเลิกรากันไป ซึ่งเธอเข้าใจดีทุกอย่างและให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและอดีตสามี

“มีคนถามว่ากลัวไหมเราบอกไม่กลัว เพราะถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ ถามว่าอยากได้เงินไหม ตอบเลยว่าไม่อยากได้ เราอยากให้เขามีความรับผิดชอบมากกว่านี้ อยากให้มองเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก มีความเห็นอกเห็นใจ และกลับมาดูเราบ้าง ไม่ใช่พอเรื่องเงียบแล้วก็หายไป ลูกเราตายทั้งคนและเราเป็นคนที่ต้องอยู่กับมันไปตลอด”

คดีดำเนินไปตามขั้นตอน ตั้งแต่ชั้นตำรวจ สำนักงานอัยการระดับจังหวัดจนถึงระดับภาค กระทั่งในที่สุดคดีก็จบลงในชั้นศาลจังหวัด ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้น โดยในระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องนี้ก็เปลี่ยนมือจากหนึ่งเป็นหลายคน ซึ่งแน่นอนว่าระยะเวลามันต้องถูกขยายออกไปอีก

“คดีอยู่ในชั้นสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 2 ปี และชั้นอัยการอีกปีกว่า เพราะในแต่ละขั้นตอนนั้นใช้เวลามากพอสมควร แต่ในขณะเดียวกัน หน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้กลับไม่ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบ หรือแสดงออกถึงความห่วงใย เห็นอกเห็นใจเราเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีการเรียกร้องความเป็นธรรมจากเรา ที่กำลังทุกข์ใจแสนสาหัส” เธอกล่าว

เธอตัดสินใจปรึกษาทนายเพื่อดำเนินการฟ้องร้องผู้เกี่ยวข้องแยกเป็นรายบุคคล แต่เรื่องราวก็ยังดำเนินไปอย่างช้า ๆ เงินสดจำนวนหลายแสนบาทถูกใช้จ่ายเป็นค่าทนาย แต่คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า

ทนายความจิตอาสา
ในวันที่เธอรู้สึกท้อแท้และกำลังจะหยุดทุกอย่าง เพราะเธอยอมรับว่าตอนนั้นเหนื่อยมากและไม่มีเงินเหลือพอที่จะสู้ต่อแล้ว เพื่อนของเธอได้แนะนำให้เธอรู้จักกับ “ทนาย ภูริวัฒน์ ศรีเรือง” ทนายความจากกรุงเทพมหานคร ที่ได้เข้ามาช่วยเหลือเธอโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว

“ค่าใช่จ่ายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทางหรือค่าที่พัก ทนายเป็นคนออกเองทั้งหมด แกบอกเราว่าแกก็มีลูกสาวเหมือนกัน ตอนที่ทนายเห็นสำนวนเราแกรู้สึกเห็นใจเรามาก เพราะเห็นว่ากำลังโดนรังแก เราบอกไปตรง ๆ ว่าไม่มีเงินแล้วนะ ไม่มีจริง ๆ หมดไปกับค่าทนายเยอะแล้ว จริงๆ ไม่อยากทำต่อแล้ว จนมารู้ว่าแกจะมาช่วยเราแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายเลย ตอนนั้นเราก็งงว่ามันมีคนแบบนี้ด้วยเหรอ จากนั้นก็ได้รู้ว่าทนายท่านเป็นคนดีมากจริง ๆ”

คดีสิ้นสุด
นับจากวันนั้นถึงวันสุดท้ายที่มีการพูดคุยกัน เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้ข้อสรุปและสามารถจบเรื่องนี้ลงไปได้เสียที คุณโอชนะคดีแต่เธอขอไม่พูดถึง เพราะเงินที่ได้มามันไม่มีความหมายเลย เมื่อต้องแลกกับความสูญเสีย เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธออยากจะขอลูกกลับมา

“เรารู้สึกว่ามันเศร้ามาก ไม่อยากได้เงินนั้น ไม่เอาได้ไหม เห็นแล้วเศร้าใจ แต่สุดท้ายเราต้องทำไปตามขั้นตอน และเราก็ไม่เหลือพลังแล้ว อยากให้ทุกอย่างมันจบ ๆ ไปเสียที” เธอกล่าว

“มีหลายคนเคยพูดถึงเรื่องนี้ และทำให้เรารู้สึกเสียใจมาก ‘แหม เรียกซะรวยเลยนะ’ เราอยากจะบอกว่าถ้าหากสามารถแลกความรวยกับลูกที่ต้องมาตายจากไป เราขออยู่แบบจน ๆ กับลูกดีกว่า พ่อพี่บอกว่าถ้าสมมติว่าแลกได้ เงินกี่ล้านแกก็จะหามาให้ ที่ทางสมบัติทุกอย่างที่มีแกพร้อมจะขาย เพื่อนำเงินมาแลกชีวิตของหลานสาวคืนกลับมา แต่มันก็ไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ เขาจากเราไปแล้ว และเราเองก็ต้องอยู่ให้ได้ มีชีวิตต่อไปเพื่อลูกของเราให้ได้”

สุขภาพกาย สุขภาพจิต
“ทันทีที่เรารู้ตัวว่าจิตใจเราไม่ปกติและต้องการความช่วยเหลือจากคุณหมอ เราก็เข้าไปขอคำปรึกษาและรับการรักษา ‘ทางวิทยาศาสตร์’ ได้ยามาช่วยให้นอนหลับ แต่สุดท้ายคุณหมอก็ไม่แนะนำให้ใช้ยาอีกต่อไป นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ยังไม่มีวันไหนที่สามารถหลับยาว ๆ ได้เลย แต่ละคืนจะนอนแค่ไม่เกิน 4 ชั่วโมง และจะหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดเวลา กลางวันก็ต้องเข้ารับน้ำเกลือและฉีดวิตามินเสริมที่สถานพยาบาลใกล้บ้านอยู่เป็นประจำ”

“เราพยายามบอกตัวเองว่าเราอยู่ได้ เราดีขึ้นแล้ว แต่เหมือนจิตใต้สำนึกเรายังจดจำเรื่องในวันนั้นอยู่ ในวันที่รู้สึกห่อเหี่ยว หรือเหนื่อยมาก ๆ เราจะถามตัวเองว่า เราทำไปทำไม ทำเพื่อใคร ซึ่งคำตอบที่ได้คือทำเพื่อตัวเราเอง ต้องขยันทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า และเพื่อคนรอบข้างที่ยังรักเรา”

ธรรมะ
“นอกจากกำลังใจและความรักจากครอบครัวแล้ว สิ่งที่ช่วยให้ผ่านความทุกข์ได้จริง ๆ ก็คือการปฏิบัติ ‘ทางธรรม’ ยาช่วยให้หลับแต่ธรรมะช่วยในด้านจิตใจ การสวดมนต์ นั่งสมาธิ ช่วยได้เยอะมาก ช่วงแรก ๆ ตื่นเช้ามาต้องไปวัด เพราะเรามีความรู้สึกว่าเราต้องเอาข้าวไปให้ลูกกิน ถ้าเราไม่ไปแล้วลูกจะกินอะไร จนวันหนึ่งหลวงพ่อที่วัดม่าหนิกได้พูดติดตลกว่า “กับข้าวที่เอามาไม่รู้ลูกได้กินไม่ได้กิน แต่คนที่ได้กินคืออาตมา” ท่านอธิบายว่าเป็นโรคเบาหวาน อยากให้เลือกนิดหนึ่ง นับตั้งแต่วันนั้นเราก็คิดได้มากขึ้น ส่วนกับข้าวที่นำไปถวายก็จะเน้นเป็นกับข้าวเพื่อสุขภาพ ซึ่งในขณะเดียวกันท่านก็ให้คนต้มยาให้เราดื่มกินด้วย”

“น้องผูกพันกับหลวงพ่อมาตั้งแต่อยู่ในท้อง น้องเป็นคนชอบทำบุญ วันไหนหยุดเขาก็จะชวนไปวัด เขาจะถามแม่ว่า “วันนี้วันพระไหม” เราก็จะไปกัน พอถึงวันเกิดเขาเราจะพาไปวัด หลวงพ่อท่านจะบอกให้กราบแม่ก่อนค่อยมากราบหลวงปู่ ท่านจะถามน้องว่า “วันเกิดกราบแม่หรือยัง ขอบคุณแม่หรือยัง” คุณโอ กล่าวทั้งน้ำตา

ปัจจุบัน
เป็นเจ้าของร้านอาหารกระติ๊บข้าว ตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนเชิงทะเลวิทยาคม ถ.บ้านดอน-เชิงทะเล เปิดให้บริการอาหารไทย อาหารอีสาน อาหารใต้ และซีฟู้ด พร้อมให้บริการจัดเลี้ยงหมู่คณะ จัดเลี้ยงวันเกิด และอื่น ๆ “ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะทำงาน ต้องทำตัวเองให้ยุ่งตลอดเวลา จะได้ไม่ต้องคิดมาก”

อยากฝากอะไรกับผู้อ่าน ข่าวภูเก็ต
“เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเป็นทหารอเมริกัน เมื่อครั้งที่เขาทำงาน ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาจะได้รับคำสั่งให้ไปออกรบ ไปลาดตระเวน ต่าง ๆ ชีวิตของเขาจะมีความตื่นเต้นตลอดเวลา จนวันหนึ่งเขาเกษียณและกลับมาอยู่บ้าน เขาไม่มีความสุขในชีวิตเลย เขากลายเป็นโรคซึมเศร้า ไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร” เธอเล่าเรื่อง

“ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เราได้กลับมามองย้อนดูว่า เพราะชีวิตมันไม่มีเรื่องตื่นเต้น ความสุขของคนเรามันคือการได้ก้าวผ่านอุปสรรค และการได้ก้าวข้ามความทุกข์ยากในชีวิต ครอบครัวมีส่วนสำคัญมาก แม้ว่าคุณจะไม่มีคนคอยสนับสนุนแต่ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าเราสามารถก้าวข้ามผ่านความทุกข์และทุกอุปสรรคไปได้ ปัญหาของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทางแก้ก็จะแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “สติ” เธอกล่าว

“ถามว่าทุกวันนี้มีความสุขไหม ก็สุขนะแต่สุขในแบบที่แตกต่างออกไป ยอมรับว่าความทุกข์ของเราคือการที่ไม่มีลูกอยู่ด้วยแล้ว แต่เราก็ได้เปิดรับความสุขที่ส่งมาจากคนรอบข้าง เราต้องทำให้ตัวเรามีความสุข เพื่อไม่ให้คนรอบข้างที่รักเราต้องมาทุกข์ไปกับเราด้วย เพราะฉะนั้นใครที่กำลังเป็นทุกข์อยู่ในตอนนี้ ขอให้มองปัญหาเป็นเรื่องที่เราต้องก้าวข้ามไปให้ได้ แล้วเราจะพบกับความสุข และความหมายของการมีชีวิตอย่างแท้จริง”

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่