หลังสงกรานต์อาจพบผู้ป่วยโควิดมากขึ้น 1 สัปดาห์เข้ารักษาเฉลี่ยวันละ 62 ราย เสียชีวิต 2 ราย

กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผย ห้วงวันที่ 9-15 เม.ย. 66 พบผู้ป่วย “โควิด” รายใหม่เข้ารักษาแล้ว 435 ราย เฉลี่ยวันละ 62 ราย และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย พบเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนานเกินกว่า 3 เดือนแล้ว

ข่าวภูเก็ต

วันจันทร์ ที่ 17 เมษายน 2566, เวลา 16:00 น.

ภาพ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

ภาพ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ กล่าวว่า สงกรานต์ปีนี้ได้กลับมาจัดกิจกรรม และมีการรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการเล่นน้ำสงกรานต์ ที่มีการจัดในหลายพื้นที่ หลังงดเว้นในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 มาหลายปี ซึ่งระหว่างทำกิจกรรมมีการใกล้ชิดและไม่ได้สวมหน้ากาก จึงเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ และอาจทำให้พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ได้ โดยล่าสุด วันที่ 9-15 เม.ย. 66 พบผู้ป่วยรายใหม่เข้ารักษาแล้ว จำนวน 435 ราย เฉลี่ยวันละ 62 ราย และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนานเกินกว่า 3 เดือนแล้ว จึงแนะนำประชาชนให้สังเกตอาการตนเอง 7 วัน หลีกเลี่ยงใกล้ชิดผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หากมีอาการป่วยให้รีบตรวจ ATK

กรมควบคุมโรคจึงได้วางแนวทางป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 สำหรับประชาชน 3 มาตรการ คือ

1. ทุกคนต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ประจำปี โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถฉีดทั้ง 2 ชนิดพร้อมกันได้ เริ่มพ.ค. 2566 นี้
2. สวมหน้ากากในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อร่วมกิจกรรมหรือไปสถานที่ที่มีกลุ่ม 607 จำนวนมาก
3. ตรวจ ATK เมื่อมีอาการป่วย หากผลเป็นบวก ให้สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกลุ่ม 608 และสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก หากอาการหนักขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ สำหรับกลุ่ม 608 หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ให้ไปรับยาต้านไวรัสและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือกับยอดผู้ป่วยโควิด19 พร้อมเร่งให้ประชาชนฉีดวัคซีนประจำปี และเตรียมพร้อมในเรื่องของยา เวชภัณฑ์ เตียง ในการรองรับผู้ป่วยโควิดที่มีอาการป่วยรุนแรงให้เพียงพอ พร้อมกำชับทุกจังหวัดให้ติดตามเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง คอยเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งทางเดินหายใจ ส่งตรวจ RT-PCR เพื่อตรวจหาสายพันธุ์ เตรียมทีมออกไปสอบสวนโรค กรณีที่มีผู้ป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิตทุกราย เพื่อหาสาเหตุ หรือปัจจัยเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรคต่อไป

ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

 

 

แจ้งข่าว..คลิกที่นี่