โดยเมื่อเวลา 14.00 น. ของวานนี้ (20 ส.ค.) ร.ต.อ.อุดม เพชรรัตน์ รองสว.(สอบสวน) สภ.เมืองภูเก็ตได้รับแจ้งจากหน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตว่า พบศพผู้เสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุลอยขึ้นอืดอยู่ในลำคลองทางเข้าโรงเรียนนานาชาติบริติซ ม. 2 ต.เกาะแก้ว จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.นิกร ชูทอง รอง.ผกก. ป. พ.ต.ท. พงศ์พิชาญ, ชยานนท์พิริย สวป.สภ.เมืองภูเก็ต พร้อมกับเจ้าหน้าที่สายตรวจเกาะแก้ว และชุดสืบสวนรุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นลำคลอง มีป่าหญ้าล้อมรอบไปทั่วบริเวณ พบศพชายลอยคว่ำหน้าอยู่ผิวน้ำ สภาพศพไม่สวมเสื้อ นุ่งเพียงกางเกงยีนส์ขาสามส่วนสีดำห่างจากตลิ่งราว 15 เมตร จากนั้นหน่วยกู้ภัยได้ว่ายน้ำลงไปใช้เชือกผูกกับข้อเท้าแล้วลากเข้ามายังริมฝั่ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ
เบื้องต้นไม่พบหลักฐานว่าผู้ตายเป็นใคร พบสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่องห้อยอยู่ที่คอ ที่ข้อมือซ้ายใส่นาฬิกา ตามร่างกายไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน โดยพบรถ จยย.ฮอนด้าดรีม สภาพเก่าสีดำ ทะเบียน กบท 888 ภูเก็ตจอดอยู่ริมถนน ตรวจสอบใต้เบาะรถ พบถุงยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อของ รพ.ส่งเสริมสุขภาพ ต.เกาะแก้ว ระบุชื่อ นายสุเพียบ สังข์ลาย อายุ 42 ปี และยังพบหมวกแก๊ปสีฟ้า 1 ใบและเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียวถูกถอดวางทิ้งไว้ขอบท่อระบายน้ำห่างจากรถ จยย.เล็กน้อย ซึ่งคาดว่าเป็นของผู้ตาย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัยกำลังนำศพผู้เสียชีวิตขึ้นจากลำคลองได้มีนางสาวอ้อม พวงนิน อายุ 52 ปีเดินมาขอดูศพ เมื่อเห็นร่างที่ไร้วิญญาณถึงกับปล่อยโฮร่ำไห้ออกมาแทบใจจะขาดพร้อมระบุเป็นสามีของตนเอง หน่วยกู้ภัยจึงช่วยกันดูแลเกรงว่าจะเป็นลมหมดสติ จากนั้นได้นำศพส่ง รพ.วชิระภูเก็ต เพื่อให้แพทย์ชันสูตรหาสาเหตุการตายที่แน่ชัดอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้ตายพักอาศัยอยู่กับภรรยาที่บ้านไม่มีเลขที่ในซอยเกาะแก้ว 33 ถ.เทพกระษัตรี ต.เกาะแก้ว ห่างจากจุดพบศพราว 2 กม.มีอาชีพปลูกผักขาย โดยผู้ตายมักชอบดื่มสุราเป็นประจำ
โดยเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ผู้ตายบอกกับภรรยาว่าจะออกไปหาปลา จนผ่านไป 2 วันยังไม่กลับบ้าน ภรรยาจึงไปแจ้งกับผู้ใหญ่บ้าน เพื่อออกตามหาตัวสามี จนกระทั่งมีชาวบ้านมาพบกลายเป็นศพลอยขึ้นอืดอยู่ในลำคลองดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นคาดว่าผู้ตายลงไปวางตะข่ายจับปลาแล้วอาจเกิดเป็นตะคริว หรืออาจเกิดอาการวูบจนจมน้ำเสียชีวิต ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สอบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้ง
