บรรดานักโทษในเคนยาเรียนการเขียนและอ่านรวมถึงความรู้ทางกฏหมายเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาล
10 กุมภาพันธ์ 2560, 15:41
โพสต์ทูเดย์ - เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรชาวเคนยาทั้งหมดราว 44 ล้านคนล้วนเป็นผู้มีรายได้น้อยและในกรุงไนโรบีเมืองหลวงของประเทศ 60% ของประชากรล้วนอาศัยอยู่ในเขตสลัมช่องว่างทางการศึกษาและโอกาสในการทำงานเหล่านี้คือสาเหตุที่ส่งผลให้อาชญากรรมในเคนยาพุ่งสูงขึ้น "ตัวผมเคยเดินทางไปเยี่ยมเรือนจำมาแล้วทั่วแอฟริกาแต่ที่เคนยาเรือนจำกำลังเผชิญกับปัญหาความแออัดในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ระหว่างการรอพิจารณาคดีและมีเพียงนักโทษจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้รับความช่วยเหลือจากทนาย" Alexander McLean ชายผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ The African Prisons Project หรือ APP ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2004 เพื่อช่วยให้การศึกษาและสวัสดืการที่ดีขึ้นแก่บรรดานักโทษในเรือนจำนอกจากนั้นยังมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักโทษเหล่านี้ "บ่อยครั้งมากที่บรรดาผู้มีรายได้น้อยและขาดการศึกษาล้วนจบเส้นทางชีวิตของตนในห้องขังพวกเขาไม่มีโอกาสเท่าประชากรกลุ่มอื่นแต่ศัยภาพและความสามารถของพวกเขานั้นยังไม่เคยถูกพัฒนาและเปิดเผยออกมาตั้งแต่ในวัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ" McLean กล่าว โครงการดังกล่าวสอนให้บรรดานักโทษอ่านออกและเขียนได้รวมไปถึงการคำนวณเลขอีกด้วยนอกจากนั้นยังให้ความรู้ทางกฏหมายแก่พวกเขาการรับทราบสิทธิของตนเองและขั้นตอนของกระบวนการทางกฏหมายเพื่อที่พวกเขาจะสามารถขึ้นต่อสู้คดีได้ในอนาคต "นักโทษหลายคนจบอนาคตของพวกเขาในคุกเพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะต่อสู้คดีอย่างไรและแน่นอนทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีสาเหตุมาจากความยากจน" Henry Kisingu เจ้าหน้าที่จากเรือนจำ Kamiti กล่าว ในภาพยนตร์สารคดีที่จัดทำโดยสำนักข่าวอัลจาซีรา Alexander McLean จะเดินทางไปเยี่ยมยังเรือนจำหลายแห่งในเคนยาทั้งชายและหญิงเพื่อหาคำตอบว่าโครงการของเขานั้นเปลี่ยนชีวิตของบรรดานักโทษไปอย่างไรบ้างรวมทั้งสัมภาษณ์ตัวนักโทษเองและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโปรแกรมพัฒนาศักยภาพที่เกิดขึ้น













ค้าปลีกอเมริกันไม่ฟื้น ปิดสาขาอื้อ-ตกงานเพียบ
6 กุมภาพันธ์ 2560, 11:12
โพสต์ทูเดย์ - ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ระดับท็อป 10 ในสหรัฐอย่าง เมซีส์ เพิ่งประกาศข่าวร้ายเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา โดยการทำการปิดสาขา 70 แห่ง และเตรียมลดพนักงานลง 1 หมื่นอัตรา หลังเผชิญหน้ากับการแข่งขันอย่างรุนแรงจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่กดดันห้างและร้านค้าปลีกต่างๆในสหรัฐมาหลายปี แม้จะงัดกลยุทธ์มากมายมาดึงดูดลูกค้าช่วงเทศกาลที่ผ่านมา แต่ก็ไม่อาจสู้การเติบโตของร้านค้าออนไลน์ที่มาแรงในรอบหลายปีนี้ได้ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ นิวยอร์กโพสต์ ได้รายงานว่า เทอร์รี ลันด์เกรน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของเมซีส์ ที่กำลังจะออกจากตำแหน่งและกำลังพิจารณาจะขายกิจการ จึงเป็นเหตุให้หุ้นของเมซีส์ได้ปรับตัวขึ้นถึง 5% โดยเมซีส์ไม่ได้เป็นเพียงห้างแห่งเดียวที่ต้องปิดสาขาเพื่อรักษาตัว ทางด้านเซียร์สเอง ก็ได้ประกาศปิดสาขา เซียร์ส 41 แห่ง และเคมาร์ทอีก 109 แห่งในเวลาไล่เลี่ยกับเมซีส์ หลังจากที่ปิดไปแล้ว 78 แห่งในปีก่อน และปี 2015 ปิดไปกว่า 200 แห่ง ขณะที่เดอะ ลิมิเต็ด ร้านเสื้อผ้าสตรีชื่อดังเพิ่งประกาศปิดสาขาไปทั้งหมด 250 แห่ง เหลือไว้เพียงแค่ร้านค้าออนไลน์ และอาจต้องปลดพนักงานกว่า 4,000 อัตรา ความย่ำแย่ของร้านค้าปลีกส่งผลให้ชาวอเมริกันตกงานหลายหมื่นคน โดยจากข้อมูลของชัลเลนเจอร์ เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส บริษัทจัดหางานพบว่า ในปี 2016 ที่ผ่านมา พนักงานมากกว่า 4.36 หมื่นคน ต้องตกงานจากภาคส่วนค้าปลีก กรีนสตรีทแอดไวเซอร์ รายงานภาพรวมห้างร้านประจำปี 2017 ว่า ห้างสรรพสินค้าจะต้องปิดสาขาเพิ่มอีก 800 สาขา เพื่อที่จะรักษาศักยภาพการขายให้ได้เท่าเทียมกันในระดับเดียวกับปี 2006 หลังต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันซึ่งไม่ใช่เพียงค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังมีการเติบโตของธุรกิจฟาสต์-แฟชั่น (การออกคอลเลกชั่นเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว) และธุรกิจออฟ-ไพรซ์ (ค้าปลีกราคาถูก) ก็ยังเป็นอีกปัจจัยกดดันเช่นกัน การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นนี้ ทำให้ภาคส่วนธุรกิจค้าปลีกต้องทำการปรับตัวและมุ่งเน้นไปยังตลาดออนไลน์มากขึ้น หรือจะเลือกปิดสาขาเพื่อรักษาตัว เช่น วอลมาร์ท ค้าปลีกชื่อดังที่ประกาศจะเข้าแข่งขันกับอเมซอน ร้านค้าออนไลน์ชื่อดังที่มีการเติบโตคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการเติบโตในภาคส่วนอี-คอมเมิร์ซทั้งหมดในสหรัฐ ในทางกลับกัน ธุรกิจค้าปลีกบางส่วนกลับเลือกวิธีขยายสาขาไปยังพื้นที่ที่สามารถสร้างยอดขายได้แทน เพื่อเป็นการรองรับนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้เอกชนช่วยสร้างงานในประเทศ เช่น วอลมาร์ท ซึ่งแม้จะเพิ่มการลงทุนออนไลน์มากขึ้น แต่ก็มีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมเช่นกัน โดยคาดว่าจะขยายราว 60 สาขาในปีนี้ พร้อมเพิ่มการจ้างงาน 1 หมื่นอัตรา ไม่ใช่เพียงวอลมาร์ทเท่านั้น ดอลลาร์ เจเนอรัล (ดีจี) ห้างค้าปลีกที่ขายสินค้าสำหรับใช้ในบ้าน ก็ได้มีการเตรียมการขยายสาขาใหม่เพิ่ม 900 สาขา โดยในแต่ละสาขาจะจ้างพนักงานไม่มากนัก และปรับเปลี่ยนที่ตั้งของสาขาเดิมอีก 900 สาขา เพื่อไปในพื้นที่ที่มียอดขายดีกว่า นโยบายรัฐบาลใหม่ไม่เอื้อ ขณะเดียวกัน ภาคค้าปลีกยังต้องเผชิญกับการกดดันจากนโยบายรัฐ เนื่องจากพรรครีพับลิกันได้เสนอการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้า 20% และยกเว้นการเก็บภาษีสินค้าส่งออก เพื่อกระตุ้นให้เอกชนสหรัฐหันมาผลิตในประเทศมากขึ้น แต่การเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ตามร้านค้าเหล่านี้มักเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคอ่อนไหวต่อการขึ้นราคา “การขึ้นภาษีชายแดนจะทำให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคสูงไปด้วย ซึ่งเป็นความจริงที่เราต้องเผชิญหากมีการออกมาตรการดังกล่าวจริง” วิกเตอร์ ลูอิซ ซีอีโอของโค้ช แบรนด์กระเป๋าชื่อดัง เปิดเผยกับซีเอ็นบีซี ความกังวลดังกล่าวส่งผลให้บริษัทค้าปลีกและองค์กรการค้ามากกว่า 120 แห่ง ซึ่งรวมถึงสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นอาร์เอฟ) ออกมาตรการ “ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเหมาะสมสำหรับชาวอเมริกัน” พร้อมกับที่บรรดาผู้บริหารบินตรงไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อกดดันไม่ให้มาตรการดังกล่าวมีการบังคับใช้ ค้าออนไลน์เอื้อธุรกิจขนส่ง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าออนไลน์ก็ยังส่งผลในด้านบวกต่อธุรกิจการขนส่ง เช่น ยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (ยูพีเอส) แม้ภาคธุรกิจดังกล่าวจะยังขยายตัวไม่เต็มที่ เมื่อเปรียบเทียบกับอี-คอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็วก็ตาม โดยผลประกอบการในไตรมาส 4 ของยูพีเอส อยู่ที่ 1.69 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.92 แสนล้านบาท) น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.95 แสนล้านบาท) “ในขณะที่ปริมาณการขนส่งเติบโตขึ้น โอกาสกำลังมา แต่ในเมื่อเราทำธุรกิจแบบธุรกิจกับผู้บริโภค (บีทูซี) เราจึงได้รับผลกระทบ” ริชาร์ด เพอเรตซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินยูพีเอส กล่าว ทั้งนี้ ยูพีเอสส่งของไปทั้งหมด 712 ล้านชิ้นทั่วโลก ในระหว่างช่วงเทศกาลที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันแบล็กฟรายเดย์ไปจนถึงวันสิ้นปี โดยมีการเติบโตทั้งหมด 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2015 ซึ่งธุรกิจแบบบีทูซีคิดเป็น 55% ของปริมาณการจัดส่งทั้งหมด อย่างไรก็ตามการส่งของถึงมือผู้บริโภคทีละหลายๆรายนั้น ใช้ค่าใช้จ่ายมากกว่าการส่งของระหว่างธุรกิจกับธุรกิจที่มีปริมาณมากในคราวเดียว และกลายเป็นความเสี่ยงที่บริษัทขนส่งต้องแบกรับเช่นกันโดยทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์