เหตุสังหารเกิดขึ้นที่ผ่านมา ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย เมื่อจู่ๆชาย 4 คนสวมหน้ากาก พร้อมอาวุธมีดดาบ พุ่งเข้าทำร้ายกลุ่มแรงงานชาวเมียนมา ในขณะที่พวกเขาเพิ่งเลิกงาน จากโรงงาน ในเขต Serdang ชานเมืองของกรุงกัวลาลัมเปอร์ เหตุที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย
หลังเกิดเหตุตำรวจมาเลเซียคุมตัวแรงงานชาวเมียนมา 7 คน ไว้ แต่ภายหลังไม่พบมูลเหตุจูงใจทางศาสนาที่จะโจมตี ในขณะที่รายละเอียดอื่นๆของคดียังไม่เป็นที่เปิดเผย
แรงงานชาวพุทธเมียนมาส่วนใหญ่ หยุดเดินทางเข้าไปทำงานยังมาเลเซีย ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค กล่าวโจมตีเมียนมาว่าเป็นผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา และเรียกร้องให้นานาประเทศเข้าแทรกแซง ช่วยเหลือชนกลุ่มน้อยนี้
โฆษกจากสำนักงานประธานาธิบดีเมียนมา Zaw Htay ระบุว่าคำแนะนำด้านความปลอดภัยถูกส่งให้กับบรรดาแรงงานข้ามชาติแล้ว และสำหรับแรงงานผิดกฏหมายทั้งหลาย ทางการแนะนำให้ติดต่อสถานทูตหากเกิดปัญหาใดๆขึ้น และทางการจะทำงานร่วมกับกรมตำรวจมาเลเซียในการสืบสวนหาผู้ก่อเหตุดังกล่าว
คำประกาศเตือนที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดแก่บรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ เมียนมาถูกโจมตีอย่างหนักในเรื่องการเพิกเฉยต่ออาชญากรรมและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นแก่ชาวมุสลิมโรฮิงญา ซึ่งเมียนมาไม่นับเป็นพลเมืองของประเทศ
ด้านทางการเมียนมาเองปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด ทั้งการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ข่มขืน และเผาบ้านเรือนของชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ซึ่งความขัดแย้งครั้งล่าสุดนี้ปะทุขึ้นหลังเกิดเหตุนายตำรวจชาวเมียนมา 9 นายถูกสังหารในพื้นที่ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ปีที่ผ่านมา ซึ่งทางการอ้างว่าเป็นฝีมือของชาวโรฮิงญา
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานต่อต้านการก่อการร้ายของมาเลเซีย เพิ่งจะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ไปว่า ขณะนี้เมียนมากำลังเผชิญกับผลกระทบจากการโจมตีโดยกลุ่มนิยมอิสลามแบบสุดโต่ง อย่างไอเอสมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาสนับสนุนชาวโรฮิงญา และต่อต้านเมียนมาที่ปฏิบัติตนไม่ดีต่อพี่น้องชาวมุสลิมของพวกเขา
และทางการมาเลเซียเองได้จับกุมผู้ต้องสงสัยที่เชื่อว่ากำลังเดินทางเข้าไปในเมียนมาเพื่อก่อเหตุโจมตี โดยได้แรงบันดาลใจจากกลุ่มไอเอส นอกจากนั้นเองชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่นอกประเทศและเป็นแรงงานข้ามชาติเองก็ล้วนมีความเสี่ยงจากการโจมตีเช่นกัน