จึงรายงานผู้บังคับบัญชาแลประสานหน่วยกู้ชีพเข้ารับตัวผู้บาดเจ็บ ก่อนพร้อมด้วย พ.ต.ท.อนุกูล หนูเกตุ รอง ผกก.สอบสวน.สภ.ถลาง, พ.ต.ท.ณฐาภพ พงศาปาน รอง ผกก.สส.สภ.ถลาง, พ.ต.ต.สุริศักดิ์ หลีวิจิตร สวป.สภ.ถลาง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน, ข่ายสายตรวจ และ ข่ายจราจร ร่วมตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางเข้าแปลงที่ดินขนาดใหญ่เนื้อที่กว่า 800 ไร่ พบร่องรอยปลอกกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง และพบรถยนต์กระบะฟอร์ด สีน้ำเงินทะเบียนภูเก็ต กระจกหน้ารถได้รับความเสียหาย ส่วนคนเจ็บ 2 ราย หน่วยกู้ชีพนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตแล้ว ทราบชื่อคือ นายวิเชียร ชิณวงศ์พรหม และ นายสัมฤทธิ์ เด่นมาลัย เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ติดตามไปอายัดตัวทั้งสองไว้ที่โรงพยาบาล
พ.ต.ท.อนุกูล กล่าวว่า หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสภ.ถลาง ได้เข้าควบคุมตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้งสองกลุ่มมาสอบสวนที่สภ.ถลาง โดยกลุ่มแรกคือกลุ่มผู้ที่อาศัยหลังที่ดินบริษัท ประกอบด้วย นายจักรี นานดิษฐ์ อายุ 33 ปี และนายส้อหลีอ้า เด่นมาลัย อายุ 54 ปี พร้อมของกลาง อาวุธปืนยาว ขนาด .22 (ปืนลูกกรด)จำนวน 1 กระบอก และ อาวุธปืนลูกซอง กึ่งอัตโนมัติ จำนวน 1 กระบอก
ส่วนอีกฝ่ายที่ดูแลพื้นที่ประกอบด้วย นายชัยยันต์ ใจสว่าง อายุ 51 ปี นายสินชัย แก้วเมฆา อายุ 42 ปี และนายวีระวัฒน์ จันทร์ประเสริฐ อายุ 48 ปี พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ประกอบด้วย อาวุธปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อ Glock 21 ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนลูกซองยาว จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุนลูกซอง จำนวน 9 นัด และเครื่องกระสุนปืน ขนาด .45 จำนวน 6 นัด
พ.ต.ท.อนุกูล กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ นายจักรี และ นายส้อหลีอ้า ซึ่งอาศัยอยู่หลังที่ดินของบริษัทฯ ได้ใช้เส้นทางภายในพื้นที่ของบริษัทฯ และไม่ได้ปิดไม้กั้นประตู ทำให้ฝ่ายที่ดูแลที่ดินฯมีการทักท้วงและมีปากเสียงกันขึ้น ทำให้เกิดความไม่พอใจ ฝ่ายนาย นายจักรี และนายส้อหลีอ้าจึงกลับไปเอาอาวุธปืนมาข่มขู่ก่อนเปิดฉากยิงกันขึ้นจนได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบอาวุธปืนทั้ง 4 กระบอกพบว่าเป็นปืนมีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนสอบปากคำผู้ต้องหาและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมให้เจ้าหน้าที่วิทยาการ กองพิสูจน์หลักฐานภูเก็ตเข้าตรวจสอบเขม่าดินปืน เก็บลายนิ้วมือ พร้อมเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอไปตรวจสอบ และรวบรวมพยายานหลักฐานทั้งหมด ก่อนดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีดังกล่าวจากการตรวจสอบพบว่าเมื่อประมาณปี 2558 ที่ผ่านมา ฝ่ายผู้ดูแลพื้นที่ของบริษัทเคยมีการเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันว่ามีปัญหาพิพาทกับกลุ่มผู้อาศัยอยู่หลังพื้นที่บริษัท เรื่องการใช้เส้นทางดังกล่าว ก่อนจะเริ่มรุนแรงขึ้นจนมีการฟ้องร้อง และศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งผู้ที่อาศัยอยู่หลังพื้นที่ยังคงใช้เส้นทางดังกล่าวตลอดมา กระทั่งเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น