โดยให้เหตุผลว่า ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ไม่ใหญ่จนเกินไปในแง่ของขนาดพื้นที่ และโครงสร้างประชากรในพื้นที่ (ตามทะเบียนราษฎร์) ที่มีอยู่เพียง 3 แสนกว่าคน รวมกับนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้าออกปีละหลายล้านคน ซึ่งส่วนมากคือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่มีจำนวนมากกว่าประชากรจริงหลายเท่าตัวนัก จึงทำให้ภูเก็ตเหมาะสมจะเป็นพื้นที่นำร่องด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมตั้งเป้าผลักดันให้ภูเก็ตเป็นศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัล (Digital Hub) ต่อไปในอนาคต
ในเรื่องนี้ ทั้งทางภาครัฐและเอกชนก็ได้ร่วมมือร่วมใจ ใช้ทั้งเทคโนโลยีและแรงงานมนุษย์ในการขับเคลื่อนให้เกิดเป็นความจริงมากที่สุด ตัวอย่างที่มีให้เห็นนอกจากสัญญาณไวไฟที่เปิดให้ใช้ฟรีในหลายจุดของเกาะภูเก็ต แล้ว ก็คงจะเป็นโครงการ “ปั่น เปลี่ยน เมือง” ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งดูจากชื่อก็คงพอจะเดาออกได้ไม่ยาก ถึงความพยายามในการใช้จักรยานแทนพาหนะที่ต้องใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน เพื่อลดมลพิษบนท้องถนนและภาวะโลกร้อน โดยเจ้าของโครงการได้จัดเตรียมรถจักรยาน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ในรัศมีการเดินทาง 1 – 5 กิโลเมตร เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและแก้ไขปัญหาที่จอดรถในพื้นที่ที่มีการจราจรแออัด ด้วยการปลดล็อคและลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ที่สามารถใช้งานได้เพียงแค่สแกนคิวอาร์โค้ด
แต่สิ่งที่พวกเราพบเห็นผ่านสายตา หรือจากช่องทางโซเชียลมีเดียหลายๆ ครั้งก็คือ พบว่ามีการใช้จักรยานเหล่านั้นในทางที่ผิดเช่น บางคนนำเอาจักรยานมาเป็นของส่วนตัว และในบางรายก็ทำลายให้เกิดความเสียหาย ซึ่งนั่นก็ทำให้ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆ เห็นแล้วก็อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาเหล่านั้น “ทำไปทำไม”
ในขณะที่หลายกลุ่มพยายามผลักดันให้บ้านเมืองเราก้าวไปข้างหน้า เพื่อให้ทัดเทียมนานาประเทศ สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก แต่เราเองกลับเห็นภาพ การนำจักรยานที่มีวัตถุประสงค์การใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม มามัดเอาไว้หลังรถซาเล้งบ้าง ขับไปจอดหน้าบ้านตนเองบ้าง หรือแม้แต่ขับไปเรื่อยเหนื่อยตรงไหนก็จอดทิ้ง
เมื่อได้เห็นภาพและรับทราบถึงเรื่องราวทำนองนี้ มันก็อดที่จะทดท้อในใจไม่ได้และเกิดเป็นคำถามว่า จะมีสักวันไหมหนอที่บุคคลบางกลุ่มซึ่งยังล้าหลังและเห็นแก่ตัว จะเข้าใจและรับรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองแล้วแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง