บรรดาผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐ ประกาศพร้อมให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่พนักงานที่อยู่ในข่าย 7 ประเทศมุสลิม ซึ่งถูกรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ระงับให้วีซ่าและโจมตีว่า นโยบายดังกล่าวจะกระทบต่อภาคเทคโนโลยีของสหรัฐอย่างรุนแรง
ซุนดาร์ พิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของกูเกิล เรียกพนักงานต่างชาติที่เดินทางออกนอกประเทศให้กลับสหรัฐโดยกูเกิลมีพนักงานที่เข้าข่ายเกือบ 200 คน เนื่องจากกังวลว่าคำสั่งดังกล่าวจะส่งผลให้พนักงานที่มีความสามารถของตนไม่สามารถกลับเข้ามาทำงานในสหรัฐได้ รวมถึงคำสั่งของทรัมป์ยังกังวลว่าอาจขยายไปสู่การแบนชาติมุสลิมอื่นๆในอนาคตด้วยเช่นกัน
ส่วนบริษัท ไมโครซอฟท์ คอร์ป ระบุว่า กำลังประสานกับพนักงาน 76 คน ที่อยู่ในข่ายดังกล่าว ขณะที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ระบุว่า เป็นนโยบายหว่านแหมากเกินไป และกำลังประเมินสถานการณ์จะให้การปกป้องพนักงานอย่างไร
“การกระทำของทรัมป์กำลังทำร้ายพนักงานเน็ตฟลิกซ์ทั่วโลก และเป็นนโยบายที่ขัดต่อความเป็นอเมริกัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องคุณค่าความเป็นอเมริกัน ที่มอบเสรีภาพและโอกาสแก่ทุกคน” รีด แฮสติงส์ ซีอีโอเน็ตฟลิกซ์ กล่าว
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งพิเศษระงับการให้วีซ่าแก่พลเมืองใน 7 ประเทศมุสลิม ได้แก่ อิรัก อิหร่าน ซีเรีย ซูดาน ลิเบีย เยเมน และโซมาเลีย เป็นเวลา 90 วัน และระงับการให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ทุกประเทศ 120 วัน แม้พลเมืองเหล่านี้จะได้วีซ่าหรือสถานะผู้ลี้ภัย จนกว่ารัฐบาลจะมีมาตรการคัดกรองที่เข้มข้นขึ้นได้ ส่วนผู้ที่มีกรีนการ์ดแต่กำลังอยู่ในต่างประเทศ จะถูกตรวจเข้มระหว่างกลับเข้าประเทศ
อย่างไรก็ดี ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินพลเมืองจาก 7 ประเทศดังกล่าวชั่วคราว สำหรับผู้ได้วีซ่าหรือสถานะผู้ลี้ภัยก่อนมีคำสั่งของทรัมป์ หลังสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (เอซีแอลยู) ยื่นคำร้อง โดยมีผู้ที่ถูกควบคุมตัวตามสนามบินจากคำสั่งราว 200 คน
เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ศาลนิวยอร์กระงับคำสั่งทรัมป์ แบนชาวมุสลิม แบนผู้ลี้ภัย โดย Ann Donnelly ผู้พิพากษาประจำศาลแขวงในนิวยอร์ก ได้ออกคำสั่งฉุกเฉินระงับคำสั่งของประธานาธิบดีในนโยบายการแบนชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศ และยุติการรับผู้ลี้ภัยจากซีเรีย
ด้านสหภาพเสรีภาพชาวอเมริกัน หรือ ACLU ระบุว่า พวกเขาจะให้ความช่วยเหลือแก่ ผู้ลี้ภัยราว 200 คน ที่ขอวีซ่าอย่างถูกต้อง แต่กลับถูกควบคุมตัวไว้ที่สนามบิน หลังทรัมป์เซ็นดำเนินคำสั่งดังกล่าว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังการแบนถูกประกาศ หน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งมาตุภูมิ รายงานขณะนี้มีนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมราว 109 คน ถูกควบคุมตัวไว้ที่สนามบินในสหรัฐ หลังเดินทางมาถึง แต่ถูกปฏิเสธห้ามเดินทางเข้าสหรัฐ
นโยบายใหม่ที่มีขึ้นของทรัมป์นี้เป็นคำสั่งกระทันหัน ส่งผลให้นักท่องเที่ยว และลูกเรือจากสายการบินจำนวนมาก ที่ถือสัญชาติจาก 7 ประเทศมุสลิมที่ถูกแบนอันได้แก่ อิรัก, อิหร่าน, เยเมน, ซีเรีย, โซมาเลีย, ลิเบีย เเละซูดาน ปรับตัวไม่ทัน และได้รับผลกระทบจำนวนมาก ซึ่งนอกจากปลายทางสหรัฐ บรรดาชาวมุสลิมที่อยู่ในลิสต์จะไม่สามารถเข้าประเทศได้แล้ว ยังมีรายงานว่าสายการบินบางสายของอเมริกันเอง ก็ห้ามชาวมุสลิมเดินทางมายังสหรัฐตั้งแต่ต้นทางด้วยเช่นกัน
