กำหนดมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดังต่อไปนี้
1. ผู้เดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ทางด่านตรวจท่าฉัตรไชย ทางน้ำ (ท่าเรือ ทุกท่า) ในจังหวัดภูเก็ต และช่องทางภายในประเทศ ท่าอากาศยานภูเก็ต ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและให้ถือปฏิบัติ ดังนี้
1) ต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 ชนิดซิโนแวค (Sinovac) , ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) สปุตนิก วี (Sputnik V) ครบ 2 เข็ม หรือซิโนแวค (Sinovac) เข็มที่ 1 แอสตราเซนิกา (AstraZeneca) เข็มที่ 2 หรือได้รับวัคซีนชนิดแอสตราเซนิกา (AstraZeneca) , ไฟเซอร์ (Pfizer) , โมเดอร์นา (Moderna) , จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson and Johnson) จำนวน 1 เข็ม มาแล้วเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน หรือเป็นผู้ที่หายจากอาการป่วยด้วยโรคโควิด – 19 มาแล้วไม่เกิน 6 เดือน และ
2) ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วยวิธีการ RT – PCR หรือวิธีการ Antigen Test ที่มีผลยืนยันจากสถานพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการ โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก่อนเดินทางถึง
3) กรณี ผู้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจังหวัดภูเก็ต เดินทางผ่านด่านตรวจท่าฉัตรไชย และด่านตรวจทางน้ำ (ท่าเรือ) สามารถนำชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ที่ได้มาตรฐานการรับรองจาก อย. ไปตรวจกับสถานพยาบาล หรือห้องปฏิบัติการ หรือ รพ.สต. หรือนำมาตรวจเองต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ใช้ยืนยันผลได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน
2. ผู้เดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับการยกเว้นตามข้อ 1
1) เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ที่เดินทางมากับผู้ปกครองหรือผู้ดูแล
2) ผู้เดินทางมากับรถฉุกเฉินทางการแพทย์ ผู้ป่วยฉุกเฉิน กู้ชีพ กู้ภัย
3. เด็กอายุตั้งแต่ 6 ปี จนถึงผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีน ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วยวิธีการ RT – PCR หรือวิธีการ Antigen Test โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก่อนเดินทางถึง กรณีผู้เดินทางผ่านด่านตรวจท่าฉัตรไชย และด่านตรวจทางน้ำ (ท่าเรือ) สามารถนำชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ที่ได้มาตรฐานการรับรองจาก อย. มาตรวจเองต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ใช้ยืนยันผลได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน
4. กรณี นักเรียนนักศึกษาอายุไม่ถึง 18 ปี ที่ไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 ได้และมีความจำเป็นต้องเดินทางผ่านเข้า - ออกจังหวัดภูเก็ตเพื่อการเรียนการศึกษา ให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาหรือศึกษาธิการจังหวัดออกบัตรประจำตัวเป็นรูปแบบเดียวกัน แสดงต่อเจ้าหน้าที่เมื่อเดินทางผ่านเข้า - ออกจังหวัดภูเก็ต และให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตทำการตรวจหาเชื้อโควิด - 19 ด้วยวิธีการ RT - PCR หรือวิธีการ Antigen Test และออกใบรับรองการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ให้มีผลใช้ได้ครั้งละไม่เกิน 1 เดือน
5. ผู้ที่มีนัดหมายตามกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล พนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวน (จำเลย พยาน ผู้ต้องหา ผู้ได้รับการปล่อยตัว) ซึ่งต้องมีเอกสารหลักฐานที่ชัดเจนว่าหากเลื่อนเวลานัดหมายดังกล่าวจะทำให้กระบวนการพิจารณาเสียหายอย่างร้ายแรง ให้สามารถเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตได้โดยมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด - 19 ด้วยวิธีการ RT – PCR หรือวิธีการ Antigen Test เป็นลบ โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก่อนเดินทางถึง
6. ผู้เดินทางมาตามโครงการนำร่องด้านการท่องเที่ยว (7+7 Extension) หรือบุคคลที่เดินทางไปท่องเที่ยวนอกเขตจังหวัดภูเก็ตทางทะเล ไปจังหวัดนำร่องอื่นแบบไป - กลับภายในวันเดียว พร้อมคนขับเรือ มัคคุเทศก์ และพนักงานประจำเรือ ให้สามารถเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตได้โดยมีผลการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยให้คนขับเรือ มัคคุเทศก์ และพนักงานประจำเรือ ตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วยวิธี ATK (Antigen Test Kit) ทุกสัปดาห์
7. ให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” และเปิดระบบติดตามไว้ตลอดเวลา หรือลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.gophuget.com เพื่อแจ้งข้อมูลในการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตล่วงหน้า และแสดงคิวอาร์โค้ด (QR Code) ต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อก่อนเข้าจังหวัดภูเก็ต
ผู้ติดเชื้อที่จงใจปกปิดข้อมูลการเดินทางหรือแจ้งข้อมูลเท็จ ต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนและควบคุมโรคเป็นผลให้เชื้อโรคแพร่ออกไป อาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ด้วย
ขอความร่วมมือผู้ที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ต ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด – 19 (D – M – H – T – T – A) ได้แก่
D – Distancing = เว้นระยะห่างระหว่างกัน
M – Mask Wearing = สวมหน้ากากผ้า / หน้ากากอนามัยเสมอ
H – Hand Washing = ล้างมือบ่อย ๆ
T – Temperature = ตรวจวัดอุณหภูมิ
T – Testing = ตรวจหาเชื้อโควิด – 19
A – Application = ติดตั้งและสแกนแอปพลิเคชันไทยชนะ และหมอชนะ
อนึ่ง เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชนหรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ จึงไม่อาจให้คู่กรณีใช้สิทธิโต้แย้งตามมาตรา 30 วรรคสอง (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งฉบับนี้ อาจเป็นความผิดตามมาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือมาตรา 52 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับแห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และอาจได้รับโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ